ธาตุแกลเลียม ถูกค้นพบโดย P.E. Lecoq de Boisbaudran นักเคมีชาวฝรั่งเศส ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.1875 โดยเขาได้ศึกษาเส้นสเปกตรัมของ Pyrenean zinc blend ที่ทำให้เข้มข้นแล้ว จนพบเส้นสเปกตรัมอยู่ตำแหน่งตรงกับธาตุที่ขาดหายไปคือธาตุ "eka-alumina" ซึ่งเป็นธาตุอยู่ระหว่าง Al และ In ในตารางธาตุ จากการเตรียมโลหะอิสระได้จากการนำสารของธาตุนี้ในสารละลายเบสมาแยกสลายด้วยไฟฟ้า (electrolysis) และได้ศึกษาสมบัติบางประการของธาตุนี้จนสำเร็จ และได้ตั้งชื่อธาตุนี้ว่า แกลเลียม (Gallium) มาจากภาษาลาตินว่า แกลเลีย (Gallia) ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ในบทความของวารสาร the Annales de Chimie ว่าเขาได้เริ่มต้นการค้นหาธาตุนี้มาแล้วกว่า 15 ปี แต่เนื่องจากมีปริมาณวัตถุดิบไม่เพียงพอ จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1874 จึงได้รับแร่จำนวน 52 กิโลกรัมจากเหมือง Pierrefitte และสกัดตัวอย่างออกมาได้จำนวนเล็กน้อย (ประมาณ 1/100 มิลลกรัม) ในคืนวันที่ 27 สิงหาคม 1875 จากเครื่องวิเคราะห์แบบสเปกโตรสโคปี แสดงถึงแถบสีม่วงที่ความยาวคลื่น 417.0 แสดงถึงธาตุใหม่
คนมักเข้าใจผิดคิดว่าแกลเลี่ยมเป็นปรอท นั่น
อาจเพราะลักษณะที่มีสีเงินอ่อนนุ่ม เป็นของเหลวเหมือนปรอทนั่นเอง และที่สำคัญมีจุดหลอมเหลวต่ำอีกด้วย ประมาณ 30 องศาเซลเซียส ฉะนั้นประเทศเขตร้อนอย่างเมืองไทยบ้านเรา โดยเฉพาะในวันที่อุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส สงสัยแกลเลียมมีโอกาสเป็นของเหลวได้แน่ๆ และที่สำคัญยังสามารถเป็นของเหลวบนฝ่ามือเราได้อีกด้วยเพราะอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์นั่นมากกว่า 30 องศาเซลเซียส แต่ถ้าหากอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียสเจ้าแกลเลียมจะเปลี่ยนเป็นของแข็งขึ้นมาทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น